
วีรปริยา อ้นจำปา
August 3, 2022
แด่ผู้หญิงทุกคน
ที่เคยได้ยินผู้ชายบางคนบ่นเรื่องโยนีของผู้หญิงว่า น้ำมากเกินไป แห้งเกินไป
ดำไม่สวย ย้วยเกินไป หลวมโพรกเกินไป ตีบเกินไปดันไม่เข้า
มีเซ็กส์แล้วเลือดออกเยอะเกินไป หรือกลิ่นแรงเกินไป
นี่คือหนังสือสำหรับคุณ
สิ่งที่กล่าวข้างต้นคือ คำโปรยของหนังสือที่ชื่อ ‘คัมภีร์โยนี’
คัมภีร์โยนี คือหนังสือที่นอกจากจะกล่าวถึง โยนี และช่องโยนี ของผู้หญิงตรงเพศ (cis female) แล้วยังกล่าวถึงมายาคติที่ผู้คนในสังคมมีต่อโยนีและช่องโยนีอีกด้วย ตามคำศัพท์ภาษาอังกฤษเรามักได้ยินการเหมารวมเรียกโยนีว่า Vagina ที่จริงแล้วคำนี้มีความหมายว่าช่องโยนี แต่ Vulva ต่างหากที่หมายถึงโยนี ขณะเดียวกันก็อาจทำให้คนไทยสับสนว่าอะไรคือ ช่องโยนี เพราะในภาษาไทยมักจะใช้คำว่าช่องคลอดมากกว่า แต่หนังสือเล่มนี้ได้อธิบายว่า เหตุใดเราถึงไม่สามารถเรียกช่องทางมหัศจรรย์นี้ว่าช่องคลอดเฉย ๆ ได้ เพราะช่องโยนี ทำหน้าที่ได้มากกว่าแค่การคลอดเด็กสักคนหนึ่ง แต่ยังถูกใช้ในกิจกรรมทางเพศอีกด้วย
โยนี ถูกมองเป็นอวัยวะที่มีความลึกลับซับซ้อนมากกว่าอวัยวะอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับ ลึงค์ หากเรามองย้อนไปดูศิลปะตะวันตก เช่น งานประติมากรรมกรีกโบราณ ที่หากปั้นรูปผู้ชายก็มักจะแสดงให้เห็นลึงค์ รวมไปถึงขนหัวหน่าว เทียบกับการปั้นรูปผู้หญิงที่มีเพียงแค่สามเหลี่ยมเล็ก ๆ ตรงหว่างขาเท่านั้น ขณะเดียวกันอวัยวะหนึ่งเดียวที่มีหน้าที่เพื่อความหฤหรรษ์ทางเพศ อย่าง คลิตอริส ก็ถูกบรรยายตามตำราสูตินรีเวชศาสตร์ว่า ‘ลึงค์ย่อส่วน’ การถูกกดทับเพียงเพราะอาชีพแพทย์และสังคมแพทย์อยู่ภายใต้อำนาจของผู้ชายซะส่วนใหญ่ ทำให้อวัยวะที่ประกอบสร้างเป็นโยนี ถูกหลงลืม รวมถึงถูกบังคับให้ลืมด้วยโครงสร้างทางสังคมที่ไม่อนุญาตให้ผู้หญิงได้มีอิสระได้การพูดถึงเรื่องเพศ และอวัยวะเพศของตัวเอง
หลายคนที่อ่านมาจนถึงตรงนี้ อาจสงสัยว่าหนังสือ คัมภีร์โยนี เป็นหนังสือสำหรับผู้หญิงเท่านั้นหรือไม่ ตัวผู้เขียนเองเห็นต่าง เพราะผู้เขียนเชื่อว่า ทุกคนบนโลก ไม่ว่าคุณจะเป็นเพศใดก็ตาม ล้วนมีปฏิสัมพันธ์กับเพศหญิงไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ผู้หญิงคนนั้นอาจเป็นแม่ เป็นเพื่อน เป็นคนรัก เป็นคนสำคัญในชีวิตของคุณ หรือจะเป็นใครก็ได้ ที่สำคัญไม่เพียงแต่ผู้หญิงตรงเพศเท่านั้น ที่มีโยนี แต่ยังรวมไปถึง ผู้หญิงข้ามเพศ และผู้ชายข้ามเพศอีกด้วย
เนื่องจาก การเข้าพบแพทย์ของผู้หญิงข้ามเพศ และผู้ชายข้ามเพศยังคงเป็นปัญหา จากการเลือกปฏิบัติทางเพศ และการคุกคามทางเพศด้วยวาจา ทำให้พวกเขาเหล่านั้นรู้สึกไม่สบายใจที่จะเข้าพบแพทย์เพื่อขอคำปรึกษาเรื่องเพศ รวมไปถึงข้อจำกัดด้านทุนทรัพย์อีกด้วย แม้แต่ในประเทศไทยเอง การเข้าถึงบริการสุขภาพของคนข้ามเพศก็ยังเป็นสิ่งที่ถูกมองข้าม และไม่ได้ถูกยกประเด็นขึ้นมาพูดอย่างแพร่หลายในวงกว้าง ทำให้คนข้ามเพศในไทยหลายคนยังประสบกับปัญหา จากความไม่เข้าใจของบุคลากรในวงการแพทย์
อีกหนึ่งประเด็นที่เป็นที่ถกเถียงกันในวงกว้างคือ ผ้าอนามัย รวมไปถึงผลิตภัณฑ์สำหรับวันนั้นของเดือน เช่น แผ่นอนามัย ผ้าอนามัยแบบสอด หรือถ้วยอนามัย หนังสือเล่มนี้ได้บอกว่า ความจริงแล้วผู้มีประจำเดือนกังวลกับเลือดประจำเดือนที่ซึมออกมาเลอะกางเกงหรือกระโปรงมากกว่าปริมาณเลือดประจำเดือนเสียอีก ซึ่งต้นตอของปัญหาไม่ได้เกิดจากปริมาณของเลือดแต่อย่างใด หากแต่มาจากผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน รวมถึงข้อจำกัดทางเศรษฐกิจในการเข้าถึงผ้าอนามัย เช่น ประเทศไทย ก็ไม่ได้มีการยกเลิกภาษีผ้าอนามัยแต่อย่างใด ทั้ง ๆ ที่ผ้าอนามัยสำคัญกับอนามัยการเจริญพันธุ์ (Reproductive health) เฉกเช่นถุงยางอนามัย ที่สามารถแจกได้ แต่ผู้มีประจำเดือนกลับจำเป็นจะต้องควักเงินในกระเป๋าราว ๆ 350-400 บาท เพื่อซื้อผ้าอนามัย ต่อการมีประจำเดือนหนึ่งครั้ง ซึ่งนั้นมากกว่ารายได้เฉลี่ยต่อวันเสียอีก
ถ้าเรามีการจัดสรรให้ผ้าอนามัย กลายเป็นสวัสดิการขั้นพื้นฐานได้ นอกจากจะช่วยให้ผู้มีประจำเดือนหรือผู้ที่มีความจำเป็นต้องใช้ผ้าอนามัยสามารถเข้าถึงผ้าอนามัย ในฐานะผลิตภัณฑ์ที่ความจำเป็นในชีวิตประจำวันได้แล้ว ยังจะช่วยลดค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ให้กับรัฐบาลได้อีกด้วย ในมุมมองของผู้เขียนเอง ในฐานะนักศึกษาหญิงคนหนึ่งที่มีความจำเป็นต้องใช้ผ้าอนามัยในทุก ๆ เดือน มีความเห็นว่า หากมหาวิทยาลัยมีการจัดสรรผ้าอนามัยฟรี ให้กับผู้มีประจำเดือน คงจะช่วยลดค่าใช้จ่ายให้กับนักศึกษารวมถึงบุคลากรในสถานศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาวะปัญหาเศรษฐกิจเช่นนี้ เพื่อช่วยลดความเหลื่อมล้ำ จากการเข้าไม่ถึงอุปกรณ์ดูแลสุขภาวะทางเพศอย่างผ้าอนามัย และยังลดความเหลื่อมล้ำทางเพศในมหาวิทยาลัยได้อีกด้วย